คนจะรวย คนจะจนดูอย่างไร 5 ลักษณะของคนเหล่านี้

สิ่งที่ช่วยบอกได้ว่าคนไหนมีโอกาสของ คนจะรวย หรือคนจะจน นี่คือ 5 ลักษณะของเรื่องที่กล่าวมา บุคลิกของแต่ละคน ประบบุคลิกเพื่อเป็นคนรวย

5 สัญญาณ บ่งบอกว่าท่านกำลังเป็น “คนจะรวย” หรือ “คนจะจน”

คนจะรวย กับคนจะจน มีวิธีคิดที่แตกต่างกันอย่างไร แล้วท่านกำลังจะเป็นแบบไหน ถ้า อยากเป็นคนรวย ต้องทำอย่างไร ก่อนอื่นขอเริ่มจากคำนิยามระหว่างคนสองประเภทนี้ก่อน คนจะรวยคือคนธรรมดานี่แหละ ที่กำลังมีรายได้มากมาย กำลังจะประสบความสำเร็จดั่งที่หวัง ส่วนคนจะจนคือคนฐานะปานกลาง รวมถึงคนที่เคยรวย แต่รายได้กำลังลดหายลงไปเรื่อย ๆ คนจะรวยกับคนจะจน มีความแตกต่างพอสมควร ทั้งในด้านการใช้ชีวิต และวิธีการคิด คนสองประเภทนี้มีความแตกต่างกันอย่างไรบ้าง

คนจะรวยจะเข้าใจตัวเองดี คนจะจนคือคนที่ไม่รู้จักตัวเอง 

รู้จักตัวเอง

นี่คือความแตกต่างที่สุดระหว่างคนสองประเภท คนจะรวยจะเริ่มต้นจากการทำความเข้าใจตัวเองก่อนว่าตัวเองมีจุดแข็งตรงไหน แล้วจะพาตัวเองไปในสิ่งแวดล้อมที่จุดแข็งนั้นมีคุณค่า ส่วนคนจะจนไม่ได้ให้ความสำคัญกับเรื่องนี้เลย จะทุ่มเทแค่งานตรงหน้า โดยไม่ประเมินว่าสิ่งที่ตัวเองทำ มันคุ้มค่ากับที่ลงทุนลงแรงไปหรือเปล่า 

ความสามารถเดียวกัน ถ้าใช้ผิดที่จะได้ผลตอบแทนที่ต่างกันหลายเท่าตัว ในโลกนี้ไม่มีคนเก่งที่สุด แต่โลกนี้มีโอกาสสำหรับคนที่รู้จักตัวเองดีที่สุดเสมอ หลายคนก็ไม่ได้เป็นคนที่เก่งอะไรมากเลย แต่เขาสามารถเอาตัวรอดจากสถานการณ์ที่ยากลำบากได้ทุกครั้งเหมือนกับการเล่นฟุตบอล ถ้ารู้ตำแหน่งการยืนของตัวเองว่า ควรยืนตรงไหน วิ่งไปตรงไหน ก็จะเหนื่อยน้อยกว่าคนที่ไม่รู้ตำแหน่งของตัวเอง แล้วก็วิ่งไปทั่วสนาม

คนจะรวยรู้ดีว่าสมควรได้อะไรจากงานแต่ละอย่าง คนจะจนมุ่งหวังแต่ผลตอบแทนเป็นเงินอย่างเดียว  

คนจะรวย

งานแต่ละอย่างมีผลตอบแทนที่ต่างกัน มันไม่จำเป็นจะต้องเป็นเงินก็ได้ เราต้องแยกให้ออกว่าเราทำงานนั้นไปเพื่ออะไร เพราะในการทำงานแต่ละอย่าง จะได้ผลตอบแทนที่ต่างกันไป เช่นงานบางงานให้เงินเรา แต่งงานบางงานแม้จะได้เงินน้อย แต่กลับให้ชื่อเสียงเรา ทำให้เราเป็นที่รู้จัก หรือบางงานก็อาจจะไม่ได้อะไรเลย แต่ให้โอกาสเราได้รู้จักกับคนเพิ่ม หรืองานบางอย่าง เราทำเพียงเพื่อปัดฝุ่นฝีมือ หรือใช้สมองของเราไม่ให้ขึ้นสนิมเท่านั้น แค่ได้ทำก็ถือว่าคุ้มแล้ว 

คนจะรวยสามารถแยกออกว่า งานแต่ละงานจะได้อะไร และจัดสรรทรัพยากรของตัวเองอย่างเหมาะสม คนจะจนจะมองแล้วเลือกงาน ที่ให้ผลตอบแทนเป็นเงินอย่างเดียว ก็เลยเสียโอกาสที่จะได้งานอื่น ที่อาจได้รับผลตอบแทนที่สูงกว่าในอนาคตไปอย่างน่าเสียดาย 

คนจะรวยมองทุกการใช้เงินเป็นการลงทุน เพื่อผลตอบแทนระยะยาว ส่วนคนจะจน ใช้เงินเป็นการซื้อความสุขในระยะสั้น  

คนจะรวย

เศรษฐีมากมาย ที่มีเงินเป็นร้อยล้าน แต่เวลานัดเจอกันทานอาหารค่ำ มักจะเป็นอาหารธรรมดาไม่ได้หรูหราอะไร นัดทีไรก็จะเป็นร้านเดิม ๆ ที่ไม่ได้มีอะไรพิเศษ ทั้ง ๆ ที่แต่ละคนจะกินอาหารมื้อละกี่หมื่นก็ได้ แต่เขาไม่ได้ให้ความสำคัญกับเรื่องเหล่านี้เลย เรื่องที่คุยกันจะเป็น เรื่องของการลงทุนกับสิ่งที่เป็นประโยชน์ในระยะยาวทั้งนั้น เช่น จะเซ้งที่ดินตรงนี้ หรือว่าเก็บไว้ให้เช่าดีไหม จะคืนทุนเมื่อไหร่ ส่วนเรื่องการใช้เงินแบบไปนั่งร้านหรูหรา เพื่อเอาประสบการณ์ไม่เคยอยู่ในหัวข้อบนโต๊ะอาหาร แล้วทุกคนก็รู้สึกว่าถ้าจะขาดประสบการณ์เหล่านี้ไปจากชีวิตก็ไม่มีอะไรกับชีวิต แต่จะเป็นเรื่องพลาดมาก หากปล่อยโอกาสการลงทุนดี ๆ ให้ผ่านไปโดยไม่ได้ทำอะไรเลย 

ส่วนคนรุ่นหลัง ๆ กลับให้ความสำคัญมากกับคำว่า experience หรือว่าประสบการณ์ คงต้องกลับมาทบทวนใหม่ว่า ประสบการณ์เหล่านั้นมันจะอยู่กับท่านได้นานแค่ไหน เช่น ท่านไปกินอาหารมื้อละห้าพัน มื้อละหมื่นบ่อย ๆ ตอนกินก็ได้รับประสบการณ์ที่ดีก็จริง แต่พอเวลาผ่านไป มันมีค่ากับท่านแค่ไหน แต่ถ้าประสบการณ์เหล่านั้นมันมีค่ากับท่าน แล้วอยู่ในความทรงจำได้ในระยะยาว เช่น ไปเที่ยวกับคนรัก พาครอบครัว พาลูก พาแฟนไป เมื่อเวลาผ่านไปมันยังมีความสุขอยู่ในใจ อันนี้เป็นอีกเรื่องหนึ่ง 

ต้องเลือกว่าประสบการณ์แบบไหนสำคัญกับชีวิตจริง ๆ เพราะทุกประสบการณ์ เราต้องจ่ายด้วยราคาที่แพงเสมอ ดังนั้นคิดก่อนว่าสิ่งที่ได้กลับมา มันคุ้มค่ากับเงินที่เสียไปแล้วเราหาเงินมาซื้อทันหรือเปล่า

คนจะรวยจะใช้เงินคนอื่นทำงาน คนจะจนใช้แต่เงินตัวเองเท่านั้น 

คนจะรวย

คนจะรวยเขาจะกล้ากู้ธนาคาร กล้าเป็นหนี้แล้วกล้าชวนคนอื่นมาลงทุนกับตัวเอง อย่างน้อยก็ไม่ต้องลงทุนด้วยเงินของตัวเองทั้งหมด ซึ่งทั้งหมดนี้ผ่านความรู้ทางการเงิน และการลงทุน คนจะจนเขาจะกลัวการเป็นหนี้มากที่สุด เพราะว่าได้รับการปลูกฝังมาตั้งแต่เด็กว่า การเป็นหนี้มันโหดร้าย การเป็นหนี้ชีวิตมันแย่ การเป็นหนี้มันไม่ดี ซึ่งพอไม่กล้าเป็นหนี้ก็ใช้แต่เงินทุนตัวเองหมด 

ดังนั้น เมื่อไหร่ที่ทุนตัวเองหมดก็คือจบ แค่ความต่างนี้ก็ทำให้ต้นทุนในการทำธุรกิจต่างกันแล้ว คนหนึ่งมีวิธีเอาเงินของคนอื่น ไม่ว่าจะเป็นนักลงทุน ธนาคาร หรือผู้ถือหุ้นเข้ามาบริหาร แปลว่ายังไงทุนก็ไม่หมด สามารถยืนระยะได้นานกว่าคนที่มีทุนจำกัดแน่นอน คนรวยที่เราเห็นเขาเดินไปเดินมาในสังคม เขามีหนี้กันทั้งนั้น เพียงแต่เขารู้จักการบริหารจัดการหนี้ที่ดี ชำระหนี้ตามกำหนด เครดิตก็ยิ่งดี ยิ่งมีความน่าเชื่อถือ ขอกู้เพิ่มก็ยิ่งง่าย เงินทุนก็เพิ่มมากขึ้น 

คนจะรวยไม่เคยมองว่าการมีหนี้เป็นเรื่องเสียหาย หรือน่าอาย เพราะมันคือเป็นหนี้เพื่อธุรกิจ เป็นหนี้เพื่อทำมาหากิน ไม่ใช่หนี้เพื่อการบริโภค และเขารู้ดีว่าการเป็นหนี้ที่ไม่ถูกต้องคือ การเป็นหนี้แล้วไม่ใช้เงินคืนต่างหาก เพราะมันจะทำให้ระบบกลไก เครดิตการทำธุรกิจเสียหายหมด การกล้าเอาเงินคนอื่นมาใช้นี่แหละ คือจุดที่ทำให้คนจะรวยแตกต่างจากคนจะจนแบบไม่เห็นฝุ่น 

คนจะรวยมองเห็นโอกาสในทุกวิกฤต คนจะจนมองเห็นแต่วิกฤตในทุกโอกาส 

มองเห็นโอกาส

คนจะรวยเขาจะมองเห็นช่องว่าง ในการหาเงินได้เสมอ และจะรีบพาตัวเขาเองให้ไปอยู่จุดนั้นให้ได้ ในขณะที่คนจะจน มักจะมองที่ปัญหามาก่อนมากกว่าโอกาส ความต่างข้อนี้จะยิ่งชัดเจนขึ้นในสถานการณ์ต่าง ๆ ที่ไม่ปกติ คุณเคยสงสัยไหมว่า ทำไมในยุคที่คนบ่นกันว่าเศรษฐกิจแย่ เศรษฐกิจไม่ดี แต่ทำไมถึงยังมีคนที่เศรษฐกิจดีอยู่แบบไม่เดือดร้อน แสดงว่าเขาไม่ได้มองที่เศรษฐกิจ พูดง่าย ๆ ก็คือ ไม่ได้เอาเรื่องเศรษฐกิจมาเป็นตัวตั้งเท่านั้นเอง Mindset ของเขาจะไม่มองว่าถ้าเศรษฐกิจไม่ดีเท่ากับไม่มีรายได้ แต่เขามักจะคิดเสมอว่า จะสามารถหารายได้จากเศรษฐกิจไม่ดีแบบนี้ได้อย่างไร เพราะถึงแม้ว่าเศรษฐกิจจะไม่ดี แต่เงินมันไม่ได้ออกไปนอกโลก เงินมันแค่ย้ายจากกระเป๋าหนึ่ง ไปอีกกระเป๋าหนึ่งเสมอ แต่คำถามก็คือ แล้วมันย้ายเข้าไปในกระเป๋าใคร และคำถามของเขาก็คือ เขาจะทำอย่างไร ให้เงินนั้นไหลมาเข้ากระเป๋าของเขานั่นเอง

อยากเป็นคนรวย รีบสมัครเว็บเดิมพันชั้นนำ เพิ่มโอกาสการเป็นคนรวยได้เร็วขึ้น สมัครง่ายด้วยระบบอัตโนมัติเต็มรูปแบบ เดิมพันขั้นต่ำก็ได้ หรือเล่นแบบทดลองเล่น ที่มีเครดิตฟรีให้ลองเล่นเพลิน ๆ แบบไร้ขีดจำกัด โปรโมชั่นเสริมการเล่นอีกมากมาย สนใจเดิมพัน สมัครได้เลยที่ : คาสิโนออนไลน์ 

เข้าสู่ระบบ
สมัครสมาชิก